BLACK OCELOT -Chapter 2: warning-
BLACK OCELOT
-Chapter 2: warning-
แทยงไม่ค่อยชอบบ้านตัวเองสักเท่าไหร่นัก เพราะมันมีทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดีผสมปนเปกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขาชอบที่ ๆ นี่เป็น ‘บ้าน’ ที่เคยมีพ่อ แม่และเขา แต่แทยงไม่ชอบตรงที่มันไม่มีแม่แล้ว ส่วนพ่อ...ก็ไม่ค่อยอยู่บ้านสักเท่าไหร่นัก
เมื่อสิบปีก่อน แม่ของเขาถูกวินิจฉัยการตายว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตเนื่องจากตกจากที่สูง แต่มันแปลกตรงที่เขาและพ่อไม่มีโอกาสได้เห็นศพแม่
แทยงในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรหรือสงสัยอะไรได้ เขาสนใจแต่ว่าทำไมพ่อถึงไม่มางานศพแม่ พ่อทิ้งให้เขาดูแลงานศพอยู่กับแม่นมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของแม่ แทยงคิดว่าเราเป็นครอบครัวที่รักใคร่กันมาตลอด แต่จู่ ๆ พ่อกลับทิ้งเขาและกลับมาหลังจากงานศพแม่เสร็จสิ้นแล้ว
ในวันนั้นเด็กน้อยวัยสิบสองปียืนมองหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดอยู่ตรงประตูทางเข้าบ้าน ดวงตากลมโตปริ่มไปด้วยน้ำใสแต่เขาไม่ทางปล่อยให้มันไหลลงมา นิ้วมือทั้งสองข้างถูกกำแน่นก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียงว่า ‘ผมเกลียดพ่อ’
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บ้านนี้เงียบเหงา โดยส่วนมากแทยงจะอยู่บ้านนี้กับแม่นมและหลานชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่อแปดปีก่อน ‘ลีมินฮยอง’ อายุน้อยกว่าเขาสองปี แต่สมองของเจ้านี่ไม่ธรรมดาเลย ความฝันของหมอนี่ไม่ได้อยู่ที่มหาลัยโซลแล้วแต่เด็กนั่นหวังจะไปเรียนต่อที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งเขาก็เห็นว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่เด็กคนหนึ่งจะคิดทะเยอทะยานได้ขนาดนี้...นี่คือคำชมนะ
คิดๆ ดูแล้วมินฮยองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แทยงเป็นแบล็คโอเซลอตที่เก่งกาจทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้น ก็แค่เรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้าง ส่วนเรื่องเจ้าเล่ห์ แทยงคิดว่ามันคงอยู่ในสายเลือดที่ส่งต่อมาจากแม่แน่ ๆ
แม่ของเขาเคยเป็นแบล็คโอเซลอตมาก่อน และไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกหรอกนะ เมื่อสามปีก่อนแทยงบังเอิญไปเจอห้องลับของแม่เข้า ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับการขโมยเพชรชื่อดัง และรูปถ่ายของแบล็คโอเซลอตที่ปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีงานแสดงเครื่องเพชร
แทยงใช้เวลาอ่านเอกสารต่าง ๆ ร่วมสัปดาห์จนแม่นมของเขาสงสัยและตามมาเจอ ในตอนแรกเขาคิดว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ที่ไหนได้เธอดันเป็นผู้ช่วยของแม่และรู้เรื่องทั้งหมด ยกเว้นเรื่องเดียวนั่นก็คือการตายของแม่
แม่นมเล่าเรื่องเกี่ยวกับแบล็คโอเซลอตให้ฟัง และนั่นทำให้แทยงก็รู้สึกภูมิใจในตัวแม่มาก เพชรส่วนมากก็เป็นของพวกมีอิทธิพลซึ่งได้มาอย่างผิดกฎหมาย แต่เธอปล้นเพื่อนำไปคืนเจ้าของจริง ๆ และช่วยเหลือพวกเจ้าของที่ไม่มีทางสู้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของแม่นมยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาเสมอ...และแล้วแทยงก็ได้หวนคิดว่าการตายของแม่เขามันเริ่มมีเรื่องแปลกๆ เข้ามากวนใจ
อย่างแรกคือภาพวาดดอกทานตะวันที่ถูกแขวนอยู่รูปเดียวบนผนังท่ามกลางรูปเพชรต่าง ๆ แม่เขาไม่ชอบดอกไม้เท่าไหร่นัก ท่านคิดว่าดอกไม้มันคือเรื่องโรแมนติกและท่านไม่ชอบเรื่องโรแมนติก
อย่างที่สองคือบันทึกสามหน้าสุดท้ายมีเนื้อหาบางอย่างที่ดูแปลกไป สไตล์การเขียนก็เปลี่ยนไปด้วย แทยงไม่คิดว่าเป็นคนอื่นเขียน แม่ของเขาเป็นคนเขียนแน่ ๆ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ กับเนื้อความที่อยู่ในนั้น และเขาคิดว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการตายของแม่แน่ ๆ
แม่นมของเขาบอกว่างานสุดท้ายก่อนที่แม่ของเขาจะเสียชีวิต เธอให้แม่นมไปพักร้อนเพื่อจะทำงานนี้คนเดียว ในตอนนั้นแม่นมไม่ทันคิดว่าท่านจะแอบไปทำงานคนเดียว ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไร ศพที่เผาไปนั่นใช่ศพของเพื่อนเธอจริง ๆ หรือไม่ก็ไม่มีคนใกล้ตัวคนไหนยืนยันได้ เธอจึงเก็บความสงสัยไว้ในใจเพราะไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับใครได้
ตอนนั้นแทยงจึงตัดสินใจว่าเขาจะสวมรอยเป็นแบล็คโอเซลอตเพื่อออกตามหาความจริงเรื่องการตายของแม่ แต่การจะสมบูรณ์แบบเทียบเท่าแม่ได้นั้นเขายังขาดความสามารถอีกหลายอย่าง นอกจากศิลปะป้องกันตัวแขนงต่าง ๆ ที่เขาจำเป็นต้องเรียนแล้ว แทยงต้องเรียนเรื่องการเป็นผู้หญิง มารยาของผู้หญิงและความเจ้าเล่ห์ของโจร ซึ่งแทยงคิดว่ามันยากกว่าไล่ให้เขาไปเรียนศิลปะเสียอีก แต่เขาก็ผ่านมาได้ ถึงจะใช้เวลาสองปีกว่าๆ ในการเรียนรู้ก็เถอะ
แต่ก็ถือว่าเขาปลอมตัวเนียนใช้ได้ ไม่ได้หมายถึงในฐานะแบล็คโอเซลอตนะ แต่หมายถึงปลอมตัวเป็นผู้หญิงต่างหาก นี่ผ่านมาหลายเดือนแล้วพวกตำรวจยังไม่รู้เลยว่าแบล็คโอเซลอตคนปัจจุบันเป็นผู้ชาย แต่จะให้สังเกตดี ๆ ก็คงยากนอกจากจะเคลื่อนไหวเร็วแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของเขายังเหมือนผู้หญิงและแบล็คโอเซลอตคนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
ต้องยกความดีความชอบให้แม่นมและมินฮยองที่ช่วยทำชุดพิเศษให้เขา ชุดที่เสริมหน้าอกและสะโพกเข้าไปพร้อมด้วยฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่มินฮยองบอกว่ามันจะเป็นประโยชน์ (เขายังไม่เคยได้ใช้สักอย่าง) โดยส่วนตัวเขาก็ตัวผอมบางพอๆ กับผู้หญิงอยู่แล้ว บวกกับใส่วิกผมบลอนด์ยาว สวมหน้ากากปิดครึ่งหน้า และการแต่งหน้าที่เหมือนผู้หญิงด้วย ยิ่งทำให้พวกตำรวจแยกไม่ออกเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่าเสียงก็ด้วย มินฮยองมีตัวแปลงเสียงที่เนียนจนไม่รู้ว่าเป็นเสียงที่ผ่านเครื่องแปลงเลยล่ะ
จะว่าไปหมอนี่มันก็เก่งจริง ๆ แหะ
“คุณหนู! มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำไมนมไม่เห็นได้ยินเสียง”
เขาจอดรถไว้หน้าบ้านแล้วแอบย่องเข้ามาในห้องครัวโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้ใหญ่คนเดียวของบ้านให้ตกใจเล่นๆ พอเห็นหน้าเหวอๆ ของเธอแล้วเด็กหนุ่มก็หัวเราะออกมา ก่อนจะโดนเธอฟาดที่แขนไปหนึ่งครั้งข้อหาที่ทำให้คนแก่ตกใจ
“ก็ผมตีนเบาเหมือนแมวนี่ครับ นมคงลืม” เด็กหนุ่มถอดแว่นสายตาปลอมๆ ออกก่อนจะหยิบแอปเปิลในตะกร้าขึ้นมากินแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ แม่นมมองเขาด้วยสายตาตำหนิ แต่แทยงไม่ลงหรอก ก็นั่งบนนี้มันสบายดีนี่
“แล้วนี่มินฮยองไปไหนครับ ผมฝากให้เขาทำบางอย่าง”
“คงอยู่ที่ห้องทำงานนั่นแหละค่ะ ว่าแต่คุณหนูทานอะไรมาหรือยังคะ”
“จริงสิ ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย วานนมทำอะไรก็ได้ให้ผมหน่อยนะครับ เนี่ย...พอพูดผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลย”
“พอกันทั้งนายทั้งบ่าวจริง ๆ วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากงาน” แทยงยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ่น เด็กหนุ่มพุ่งเข้าไปกอดแม่นมก่อนจะใช้ศีรษะถูออดอ้อนแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“นมอย่าบ่นเลยนะครับ ถ้าบ่นมาก ๆ ก็จะแก่ไว พอแก่ไวก็จะตายไว ไม่เอาน้า...ผมยังอยากให้นมอยู่กับผมไปนาน ๆ”
“อยากให้นมอยู่ไปนาน ๆ ก็เลิกก่อปัญหาได้แล้วค่ะคุณหนู นมเป็นห่วงทุกครั้งเวลาได้ยินข่าวเรื่องที่คุณหนูออกไปปล้น กลัวว่าสักวันหนึ่งคุณหนูจะ...”
“นมก็รู้ว่าผมไม่มีทางตายหรอก ถึงตายผมก็จะฟื้นขึ้นมาให้ได้ ถ้าผมไม่ได้รู้ว่าแม่ผมตายยังไง ศพไปอยู่ที่ไหนผมก็นอนตายตาไม่หลับหรอกครับ”
“นมพูดอะไรไปคุณหนูก็ไม่ฟังหรอก คุณหนูก็เหมือนแม่ เลือกอะไรแล้วก็จะทำมันจนสุดทาง เอาเถอะค่ะ...ไปหามินฮยองเถอะ เดี๋ยวนมจะทำอะไรไปให้ทาน”
“ขอบคุณมากนะครับ” แทยงใช้จังหวะเผลอหอมแก้มผู้ใหญ่ที่เปรียบเสมือนแม่ทั้งสองข้างก่อนจะผละออกแล้ววิ่งหนีไปหามินฮยองก่อนที่จะได้ยินคำต่อว่าใด ๆ
นอกจากห้องของแม่ที่ทำให้เขามีความสุขในเวลาที่กลับบ้านแล้ว ก็มีการแกล้งแม่นมนี่แหละที่ทำให้เขามีความสุขได้เหมือนกัน
“พิซซ่าฮาวาเอี้ยนไม่เอาสัปปะรด เพิ่มมันบดกับสปาเก็ตตี้” แทยงกลอกตามองเพดานหลังจากพูดรหัสเข้าห้องเสร็จ ที่เขาว่ากันว่าคนฉลาดมักคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องก็น่าจะจริง มินฮยองมันไม่เคยฟังที่เขาพูดเลยสักนิด บอกให้เปลี่ยนได้แล้วไอ้รหัสบ้านี่...เขาเคยเผลอไปสั่งแบบนี้ที่ร้านพิซซ่าเพราะความเคยชินด้วย แย่ชะมัด
“ได้เรื่องอะไรบ้าง” แทยงเลื่อนเก้าอี้ตัวที่สองซึ่งเป็นตำแหน่งของเขาเอง ห้องทำงานของมินฮยองเป็นห้องที่เปลืองไฟมากที่สุด หน้าจอนับสิบบวกกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่สั่งทำขึ้นพิเศษอีกสามเครื่องทำให้เขาต้องทุบห้องเพิ่มพื้นที่ให้ น้องชายก็ไม่ใช่แต่ดันได้เล่นของดีกว่าเขาเสียอีก
“ผมหาข้อมูลของผู้เสียชีวิตทั้งสองคนไว้แล้ว คุณหนูอ่านเอาเองเลยครับ”
“ขอบใจ เอ้อ...นายช่วยหาคดีที่ผู้กองซอเคยทำแล้วเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลหน่อยสิ”
“อย่าบอกนะว่าการไปอยู่ข้าง ๆ ห้องเขาหลายเดือนมีผลต่อความเมตตาของคุณหนู” มินฮยองหันมาทำตาโตใส่แล้วยกมือปิดปากอย่างเสแสร้ง
“เดี๋ยวตบแว่นหลุดเลยนี่ ฉันแค่คิดว่ามันอาจจะเกี่ยวกับคดีของแม่ฉันก็ได้ ไม่ได้มีความเมตตาอะไรไอ้ผู้กองนั่นหรอก”
“แต่คุณหนูก็ช่วยเขาไว้นี่ ผมแอบดูจากกล้องวงจรปิดมา...เฮ้ ไม่ใช่ว่าไปตกหลุมรักเขาเข้าหรอกนะ”
“ทำงาน” แทยงสนใจข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอก่อนจะกดเสียงต่ำ มินฮยองทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเล็กน้อยก่อนจะกลับไปทำงานในส่วนของตัวเองต่อ
“มีเป็นตับ...ผู้กองซอก็ใช่ย่อย เล่นเก็บแต่ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น ผมไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกลายเป้าของใครสักคน”
“ลองวิเคราะห์จากข้อมูลของผู้ตายแล้วหาขอบเขตความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงที่สุด อ้อ...จริงสิ! ฉันเก็บตัวอย่างบางอย่างมาให้นายช่วยตรวจดูด้วย แต่ฉันคิดว่าคราวนี้เราคงต้องพึ่งเพื่อนนาย”
“คุณหนูเก็บอะไรมา”
“ขอหาก่อนสิ”
“แล้วตกลงจะให้ผมทำอะไรก่อนเนี่ย”
“นายก็วิเคราะห์ข้อมูลไปก่อนสิ ฉันยังหาไม่เจอเนี่ย” แทยงคลำไปทั่วตัวก่อนจะพบว่ามันถูกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทด้านใน เขาเก็บไมโครชิพใส่ซองใสไว้ก่อนจะส่งต่อให้มินฮยองช่วยดู
“มีเลือดไปอีก! ไปเอามาจากใครเนี่ย”
“คนที่ตายโดยไม่รู้สาเหตุไง ฉันว่าไอ้เจ้านี่มันต้องเกี่ยวข้องกับการตายของเขาแน่ ๆ แต่ลำพังแค่เราคงแยกส่วนประกอบไม่ไหว นายพอจะมีเพื่อนที่ไว้ใจช่วยได้ไหม”
“ก็พอมี แต่ผมไม่แน่ใจนะว่าจะเสร็จทันใจคุณหนูไหม”
“ไม่เป็นไร กับคนอื่นฉันเกรงใจเป็น ยกเว้นนาย”
“ให้ตายเหอะ...คุณหนูรอมันโหลดไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมขอโทรหาเพื่อนผมก่อน”
“ได้...เอ้อ แต่บอกเขาว่าเร็วหน่อยก็ดี”
“ผมว่าแล้วเชียว” มินฮยองออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก ส่วนแทยงก็ย้ายที่นั่งไปเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของมินฮยอง แทบดาวน์โหลดใกล้จะเต็มแล้วและเขาก็เชื่อว่าข้อมูลที่ได้จากโปรแกรมการวิเคราะห์ของเจ้าเด็กเนิร์ดมีความแม่นยำสูง มันอาจทำให้เขาสาวไปถึงตัวคนบงการได้เร็วกว่าพวกตำรวจ
“ไม่พบ! หมายความว่าไงที่ว่าไม่พบ!” ร่างบางจ้องจอคอมพ์จนตาแทบถลนก่อนจะลองป้อนข้อมูลใหม่อีกครั้ง ประจวบเหมาะกับที่มินฮยองเข้ามาพอดี แทยงจึงหันไปพูดกับเจ้าของเครื่อง
“มินฮยอง เมื่อกี้มันขึ้นว่าไม่พบ ฉันเลยลองใส่ข้อมูลไปอีกครั้ง”
“ก็ไม่แปลก ตอนที่ผมเห็นครั้งแรกผมยังสงสัยเลย สองคนนี้ประวัติสะอาดมากเลยนะ อย่างคนที่ฆ่าตัวตายเขาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมก็จริง แต่ความเกี่ยวข้องมีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ คงไม่น่าฆ่าตัวตายหนีความผิด...คุณหนูคิดว่าอย่างนั้นไหมล่ะ”
“ทึ่งว่ะ นายคิดได้ไงวะ...แล้วอีกคนล่ะ”
“อีกคนคือสะอาดสุดๆ ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยสักนิด ผมว่าคนจ้างมันต้องคิดมาดีแล้วแน่ ๆ หาอะไรสาวถึงตัวไม่ได้เลย”
“แบบนี้เราก็ต้องรีบแยกส่วนประกอบไมโครชิพ เผื่อจะหาแหล่งผลิตได้”
“อ้าวก็เก่งนี่ นึกว่าคิดไม่ได้”
“ใครลูกน้องใครเจ้านายกันแน่วะ เอาเหอะ...เอาเป็นว่ามีคนอยากจัดการกับไอ้ผู้กองขี้เก๊กนั่นเหมือนฉันแล้ว แต่ฉันไม่ยอมหรอกนะ...จะมาฆ่าหมอนั่นตัดหน้าฉันได้ยังไง”
“กลัวผู้กองซอตายขนาดนั้นเลย นี่คุณหนูชอบเขาเข้าจริง ๆ แล้วใช่ไหม” มินฮยองหรี่ตามองเจ้านายตัวเองด้วยสายตาจับผิด แทยงจะโกหกใครก็โกหกได้ทั้งนั้น ยกเว้นเขากับป้าของเขา
“บอกว่าไม่ได้ชอบไง! กะ...ก็หมอนั่นก็เป็นตำรวจที่ดี ฉันแค่คิดว่าประเทศเราควรมีตำรวจที่ขยันทำงานและรับผิดชอบต่อหน้าที่แบบนี้ไว้บ้างก็เท่านั้น”
“อย่าไปชอบเขาเข้าจริง ๆ ก็แล้วกัน ผมกลัวว่าคุณหนูจะเกิดปัญหา ไม่มีใครยอมรับที่คุณหนูเป็นแบบนี้หรอก”
“เป็นโจรอะหรอ”
“หึ นิสัยเอาแต่ใจ”
“นายอยากให้คอมพิวเตอร์นายดับสักสองอาทิตย์ไหมมินฮยอง ดีซะอีกฉันจะได้พักงาน” แทยงยกขวดน้ำขึ้นสูงเพื่อขู่ มินฮยองรีบปราดเข้ามาแย่งขวดน้ำไปถือไว้เองก่อนจะมองอย่างเคืองๆ
“นี่ไง! คนที่ทนได้ก็มีแค่ผมกับป้าเท่านั้นแหละ!”
“ฮึ้ย! สรุปว่าข้อมูลก็วิเคราะห์ไม่สำเร็จเหมือนเดิม เราคงต้องรอผลจากการแยกส่วนประกอบสินะ ว่าแต่เพื่อนที่นายไปขอให้เขาช่วยนี่คือเพื่อนจากที่ไหน โรงเรียน มหาลัย หรือว่าทำงานแล้ว”
“มหาลัย คนนี้แหละที่ช่วยผมทำชุดให้คุณหนู...ไว้ใจได้ชัวร์ ทุกวันนี้เขายังคิดว่าผมแค่อยากสร้างชุดฮีโร่ไว้ใส่เล่นเฉยๆ เลย”
“ดูซื่อดีเนอะ วันหลังพามากินข้าวที่บ้านบ้างสิ ฉันอยากทำความรู้จัก”
“งั้นเขาก็จะรู้นะว่าคุณหนูคือแบล็คโอเซลอต”
“ฉันก็ไม่ควรมีความลับกับคนที่ช่วยเหลือฉันนี่ อีกอย่างถ้าได้นักวิทยาศาสตร์มาช่วยงานเราก็จะทำงานได้ง่ายขึ้นนะ”
“ไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้น”
“ขวางโลกชิบ...”
“เจ้ามินฮยอง คุณหนูคะ ออกมาทานข้าวกันได้แล้วค่ะ”
“ทีกับคุณหนูนี่เสียงอ่อนเสียงหวานเหลือเกินนะ อยู่บ้านก็เอาแต่บ่นๆๆ ผมทุกวัน” มินฮยองตอบรับออกไปก่อนจะหันมาพูดเสียงกระซิบกับเขา แทยงหัวเราะร่าก่อนจะยกมือขยี้ผมเด็กน้อย
“เอาน่า...นายก็ออกจากห้องไปช่วยป้านายบ้างสิ ฉันรู้ว่านายรำคาญแต่เขาพูดเพราะว่าเป็นห่วงนายไง”
“ฉากชีวิตอีกละ ผมรู้หรอกน่า...ก็เข้าใจว่าวัยทองแต่อารมณ์วัยรุ่นบางทีมันก็เบื่อๆ ไงคุณหนู เหมือนที่คุณหนูไม่อยากเจอพ่อตัวเพราะเบื่อฟังเขาบ่นอะ”
“ยอกย้อนเก่ง ไปกินข้าวกันเถอะ” แทยงผลักศรีษะเด็กมัธยมเบาๆ ก่อนจะชวนออกไปจากห้องทำงานด้วยกัน
.
.
แทยงกลับมาที่ห้องพักของตัวเองในเวลาพลบค่ำ เขาเพิ่งนึกออกว่าวันนี้ตัวเองมีนัดทำรายงานกับเพื่อนที่ห้องเลยต้องรีบกลับมารอ ส่วนผู้กองข้างห้องคงยังไม่กลับมาแน่ ๆ เพราะมีคดีต้องสะสาง เขาไม่อยากไปที่สถานีตำรวจสักเท่าไหร่แต่เร็วๆ นี้น่าจะถูกเชิญไปให้ปากคำเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นวันนี้แน่ ๆ ซึ่งเขาก็ต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชิบหาย
“นายหายไปไหนมา! โรงพยาบาลก็ไม่ได้ไป!” เด็กหนุ่มสะดุ้งหลักจากโดนตะคอกใส่ หลังออกมาจากลิฟต์เขาเห็นผู้กองซอยืนกดโทรศัพท์ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่คิดว่าคงไม่เกี่ยวกับตัวเองเลยเดินมาเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นสายตาคมๆ นั่นตวัดมองอย่างตำหนิ พอจะหนีก็หนีไม่ได้เพราะอีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วขึ้นเสียงใส่
...แอบน่ากลัวนะเนี่ย
“อ่ะ! จริงด้วย! พอดีผมได้รับโทรศัพท์ด่วนจากเพื่อนครับก็เลยไม่ได้ไปโรงพยาบาล แต่ผมไม่เป็นอะไรนะครับ ผมสบายดี ขอโทษที่ทำให้ผู้กองเป็นห่วงนะครับ” เด็กหนุ่มแกล้งตีหน้าเศร้าก่อนจะก้มศรีษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษ
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงนาย...ก็แค่...แค่กลัวนายตายแล้วไม่รู้จะรับผิดชอบยังไง”
“ผู้กองไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรชีวิตผมหรอกครับ เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ก็แค่อยู่ข้างห้องกันเฉยๆ อีกอย่างผมก็ไม่มีพ่อแม่ ตายไปก็แค่ตายครับ”
“...แล้วทำไมโทรไปถึงไม่รับสาย” แทยงแอบยิ้มในใจเพราะทำให้ผู้กองซอเปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ ร่างบางขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เอ...หรือเราให้เบอร์เก่าไปวะ
“ผมว่า...ผมคงให้เบอร์เก่าผมไป” เด็กหนุ่มขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบาเพราะเพิ่งนึกออกและหาข้อแก้ตัวไม่ได้
“ว่าไงนะ! นายรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายแค่ไหนแต่นายดันให้เบอร์เก่านายมาเนี่ยนะ! ฉันโทรหานายตั้งแต่บ่ายสามแล้วนะโว้ย!”
“อ้าว ไหนบอกไม่ได้เป็นห่วงผมไง”
“เวลานี้ยังจะมาเล่น...แล้วนี่กินข้าวมาหรือยัง”
“กินมาแล้วครับ ว่าแต่ผู้กองกินอะไรหรือยังครับ ผมเดาว่าคุณคงเป็นห่วงผมและยืนรออยู่ตรงนี้นานแล้วแน่ ๆ”
“ฉันแค่พลาดครั้งเดียว นายไม่ต้องล้อตลอดไปก็ได้มั้ง”
“ได้ไงครับ ผู้กองอุตส่าห์เป็นห่วงผมเลยนะ งั้นผมจะตอบแทนความเป็นห่วงของผู้กองด้วยการทำอะไรให้ทานดีไหมครับ”
“กินแล้วไม่ตายนะ”
“โห ดูถูกกันเกินไปแล้วนะผู้กอง ผู้กองจะเข้ามารอในห้องผมหรือจะรอที่ห้องตัวเองครับ แต่ถ้ารอห้องผมก็รีบๆ ทานหน่อยนะครับเพราะเดี๋ยวเพื่อนๆ ของผมจะมาทำงานกัน ผู้กองอาจจะรำคาญ”
“จำได้ นายเคยบอก...เพื่อนนายจะมากี่โมงล่ะ”
“ก็อาจจะสักสามทุ่มมั้งครับ”
“ทำงานกันดึกจัง แต่พรุ่งนี้ก็วันหยุดนี่นะ...เพื่อนนายคงนอนค้างที่นี่”
“ผมไม่ให้ใครนอนค้างห้องผมครับ ดึกแค่ไหนก็ต้องกลับบ้าน คนอื่นเขาเป็นห่วง”
“พูดแล้วก็ลองย้อนดูตัวเองบ้างนะ”
“ก็บอกไปแล้วว่าผมไม่มีใครมาคอยมาเป็นห่วง ผมถึงไม่ค่อยรักชีวิตตัวเองเท่าไหร่”
“นายดูไม่น่าเป็นคนแบบนั้นเลยนะ...แต่ก็อย่างว่า คนเรามันมองกันที่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ งั้นฉันจะเป็นคนที่คอยห่วงนายให้ก็แล้วกัน อย่างน้อยก็รักชีวิตตัวเองบ้าง นายอย่าใช้ให้มันคุ้มเกินไป”
แทยงสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ชั่วขณะหนึ่งเขาเผลอใจกระตุกวูบ ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันทำให้คนฟังที่คิดในแง่ลบกับทุกสิ่งมาตลอดอย่างเขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ในความจริงแล้วแทยงรู้ดีว่าเขายังมีแม่นม มินฮยองและเพื่อนสนิทของเขาคอยเป็นห่วง แต่คนที่เขาอยากให้ห่วงจริง ๆ คือพ่อซึ่งท่านคงไม่มีทางทำแบบนั้นกับเขาแน่ๆ
แล้วคนตรงหน้าเป็นใครกันถึงมาทำให้เขารู้สึกใจเต้นด้วยคำพูดและการกระทำเฉยๆ แบบนี้ได้
“ผมก็ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าผู้กองจะพูดอะไรแบบนี้เป็น คงสงสารผมล่ะสิ...แต่ผมไม่ชอบมันสักเท่าไหร่เลยนะ การได้รับความสงสารจากใคร” แทยงหลุบมองต่ำเพื่อกดรหัสเข้าห้อง หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณว่าประตูถูกปลดล็อกแล้ว ร่างบางก็เดินนำเข้าไปด้านในก่อนจะเปิดประตูค้างไว้เพื่อให้ร่างสูงเดินตามเข้ามา
“ไม่เถียงละกัน พูดเพราะว่าสงสารจริง ๆ”
“ก็เป็นซะแบบนี้...” ร่างบางบ่นอุบอิบก่อนจะวางกระเป๋าไว้บนโซฟาแล้วเดินไปที่โซนครัว ก่อนจะตะโกนถามอีกฝ่ายว่าแพ้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แล้วปล่อยให้ผู้กองสำรวจห้องของเขาไปหลังจากได้คำตอบว่าไม่
ที่นี่มีแค่หลักฐานการเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เท่านั้นแหละ ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับแบล็คโอเซลอตหรอก พวกชุดหรือของที่ขโมยมาได้เขาก็เอาไปเก็บไว้ที่ฐานลับไม่ก็ที่บ้าน ฉะนั้นไม่มีอะไรให้นายตำรวจคนนี้สงสัยหรือจับได้หรอก
“นายสนิทกับคนนั้นที่สุดหรอ คนที่มีลักยิ้มที่ฉันเจอวันนั้น...นายมีรูปคู่กับเขาเยอะที่สุด”
“ใช่ครับ ก็รู้จักกันมาตั้งแต่มอต้น เข้ามหาลัยก็เรียนคณะเดียวกัน วันนี้เขาก็มานะครับ เขาบอกจะมาแนะนำตัวกับผู้กองด้วยนี่ถ้ามีโอกาสเจอกัน ถ้าผู้กองจะรอเจอเขาก็ได้นะครับ”
“นี่ไง เจอคนที่จะเป็นห่วงนายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”
“...คุณนี่มีวิธีการให้กำลังใจที่แปลกดีนะครับ แต่ผมก็ชอบนะ มันดูเป็นคุณดี”
“มาบอกชอบกันแบบนี้ได้ไง เขินตายเลย”
“เห็นเป็นเรื่องเล่นไปหมดทุกอย่างเลยนะคุณเนี่ย”
แทยงเหลือบมองคนที่ยืนยิ้มบาง ๆ แล้วยกมือกอดอกพิงสะโพกอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ไม่อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ไม่ช่วยแล้วจะยังมายืนเกะกะอีก ไปนั่งรอตรงไหนก็ไปเถอะ!
“นายกำลังไล่ฉัน ฉันเห็นสายตานาย” แทยงสะดุ้ง ร่างสูงเข้ามายืนประชิดตัวเขาก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อจ้องจับผิด เด็กหนุ่มเอนตัวหนีก่อนจะหมุนตัวไปประจันหน้าพร้อมกับตะหลิวในมือซึ่งทำเอาร่างสูงผงะถอยไปเล็กน้อย
“ใช่ ผมรำคาญคุณไง ยืนเกะกะขวางทางอยู่ได้ ไปนั่งรอสิ”
“ก็แค่มาดูว่าทำอะไร ฉันเป็นคนกินนะ ฉันควรมีสิทธิ์รู้สิว่านายกำลังทำอะไร”
“ก็แค่เชยุกบกกึม*(หมูผัดซอส) ผมไม่ทำคุณตายหรอกน่า”
“ถ้ามีคนยืนมองแล้วนายรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะทำหรอ”
“คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“งั้นฉันจะช่วยแก้นิสัยนี้ให้นายเอง เดี๋ยวจะไปยืนพิงตู้เย็นก็แล้วกัน นายน่าจะเอาของออกมาหมดแล้ว”
“คุณเป็นตำรวจที่โคตรวุ่นวายกับชีวิตชาวบ้าน”
“ก็เพิ่งเป็นแค่กับนายนี่แหละ”
“ที่คุณไม่มีแฟนก็อาจจะเป็นเพราะใจดีกับคนอื่นเรี่ยราดล่ะมั้ง... ก็เลยไม่มีใครกล้าคิดว่าคุณจะชอบเขา อย่าทำตัวแบบนี้บ่อยนักเลย มันไม่ดี”
“ขอบใจที่ชมนะ...แต่ฉันห้ามความใจดีของตัวเองไม่ได้จริง ๆ เฮ้อ...แถมยังเกิดมาหล่อ หน้าที่การงานก็ดี ชาตินี้จะได้แต่งงานกับเขาไหมน้อ”
“ไม่ได้แต่งแล้วครับ ผมขอแช่งไว้ตรงนี้เลย”
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“มือไม่ว่างครับ” แทยงตอบก่อนจะลอบยิ้ม นึกว่าผู้กองจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้เสียอีก ทีแท้ก็กลัวขึ้นคานเป็นเหมือนกันนี่หว่า
“หัวเราะได้แต่อย่าหัวเราะจนน้ำลายกระเด็นลงไปในกระทะ”
“ก็อาจจะเพิ่มความเค็มได้นะครับ ลองดูไหมครับ”
“ขอปฎิเสธ...แว่นนายขึ้นฝ้าแล้วนะ มองเห็นหรอ หันมาเดี๋ยวฉันถอดออกมาเช็ดให้ มือนายเปื้อนซอส” ถึงปากจะบอกให้ร่างบางหันมาแต่มือหนาก็จับไหล่แคบแล้วหมุนตัวไปทางเขาแล้ว แทยงไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีแว่นก็ถูกถอดออกไปจากใบหน้าเขาแล้ว แต่ว่านั่นไม่สำคัญหรอก...เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแว่นอยู่แล้วเพราะมันเป็นเลนส์ที่ไม่มีค่าสายตาแต่เขากลัวว่าความจะแตกเอาน่ะสิ!
“ผมเช็ดเองได้!” แทยงรีบผัดหมูในกระทะก่อนจะปิดแก๊สแล้วคว้าแว่นมาเช็ดเองก่อนจะรีบใส่ไว้เหมือนเดิม ผู้กองหนุ่มจ้องมองด้วยความเคลือบแคลงก่อนจะได้คำตอบในเวลาต่อมา
“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับแว่นของผม ถ้ามันหายไปจากหน้าผม ผมจะรู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ ขอโทษด้วยที่เสียมารยาทกับคุณ”
“อ้อ...ฉันก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน ฉันก็แค่หวังดี ไม่รู้ว่านายจะรู้สึกแบบนั้น”
“ไม่เป็นไรครับ ก็ผู้กองไม่รู้ เสร็จแล้วนะครับ ส่วนข้าวเป็นข้าวที่ผมหุงไว้เมื่อเช้า มันยังไม่บูด ผมอุ่นไว้ให้แล้วแต่ถ้าคุณไม่ชอบทานข้าวเย็นก็ไม่เป็นไรครับ เอาจานผมใส่กับข้าวไปก่อนก็ได้”
“ฉันไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ได้กินข้าวเย็นฟรีก็ถือว่าคุ้มแล้ว รอดจากการฝึกพิเศษมาได้ฉันก็แทบจะกินได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้”
“ดูน่ากลัวนะครับเนี่ย คุณทานข้าวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปเก็บกวาดห้องก่อน”
“ฉันไม่อยากคิดเลยแหะ...แต่ถ้ามีนายเป็นรูมเมทก็คงดี” ร่างสูงจัดการตักข้าวใส่ถ้วยก่อนจะเดินถืออาหารไปที่โต๊ะทานข้าวแล้วนั่งลง โดยมีแทยงเดินตามมา
“ไม่คิดน่ะดีแล้วครับ ผมไม่อยากลำบาก ห้องผู้กองคงรกไปด้วยเอกสาร ผมไม่อยากโดนทับตาย อีกอย่างผมก็ไม่อยากชินเวลามีคนอยู่ด้วย ผมกลัวว่าถ้าชินกับการมีคนอยู่ด้วยแล้ว มันจะกลายเป็นว่าผมอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้”
“อ้อ เพราะแบบนี้นายเลยไม่แชร์ห้องกับใครสินะ แต่บ้านนายก็คงมีฐานะน่าดูถึงมาเช่าอพาร์ตเมนต์ได้ พาร์ทไทม์ก็คงไม่ได้ทำเพราะฉันเห็นนายกลับห้องไวตลอด”
“ผมมีงานที่ได้เงินแต่ไม่ต้องออกแรงครับ มันอยู่ในนี้” เด็กหนุ่มชี้ไปศรีษะตัวเอง “แต่ที่คุณพูดมาก็ถูก ผมกินทรัพย์สินเก่า ผมไม่ไปกวาดห้องแล้ว...ผู้กองชักจะรู้เรื่องของผมเยอะเกินไปแล้ว ผมควรได้รู้เรื่องของผู้กองบ้าง” เด็กหนุ่มตัดสินใจเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะนั่งลงแล้วยกมือขึ้นกอดอก คนโตกว่าหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางแบบนั้นก่อนจะตอบ
“ฮ่ะๆๆ เรื่องฉันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แต่จะเล่าให้ฟังก็ได้”
“คุณน่าจะอยู่กับพ่อแม่ ผมเคยได้ยินเสียงผู้ใหญ่ดังมาจากห้องคุณ”
“ก็ใช่ ยังอยู่กันครบ...ตอนนี้ฉันก็กำลังอยู่ในช่วงเก็บเงินซื้อบ้านในโซลอยู่เพราะอยากให้พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ฉันจะได้ดูแลพวกท่านได้”
“สู้ๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ ว่าแต่คุณเคยมีแฟนบ้างไหมครับ อันนี้ผมสงสัยจริง ๆ”
“เคยมีสิ...กับคนล่าสุดก็เพิ่งเลิกกันไปเมื่อสองปีก่อน”
“สองปีผมไม่เรียกว่า ‘เพิ่ง’ หรอกนะครับ แต่ถ้าคุณยังรักและคิดถึงเขาคุณจะว่าแบบนั้นก็ได้”
“แล้วนายล่ะเคยมีแฟนไหม”
“หมดโควตาของคุณที่จะถามผมแล้วครับ คราวนี้ผมต้องเป็นฝ่ายถามบ้าง”
“ให้สามคำถาม” ผู้กองซอบอกก่อนจะตักข้าวเข้าปากไปด้วย เด็กนี่ทำอาหารได้รสชาติดีพอๆ กับฝีมือแม่เขาเลยนะ ต้องหาเรื่องมากินข้าวบ่อย ๆ แล้วล่ะแบบนี้
“คุณชอบการอยู่คนเดียวหรือชอบการอยู่ร่วมกับคนอื่น”
“มันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่ส่วนตัวแล้วฉันชอบอยู่ร่วมกับคนอื่นมากกว่า ฉันเป็นคนพูดมาก ถ้าไม่ได้พูดเลยอาจจะตายเอาก็ได้”
“น่านับถือจัง ตายเพราะไม่ได้พูดเนี่ย...แล้วคุณไว้ใจคนใกล้ตัวคุณมากแค่ไหน”
“ถ้านายอยากจะถามถึงตัวเองก็ถามมาเถอะ”
“ผมไม่ได้อยากถามถึงตัวเองสักหน่อย ผมก็แค่อยากรู้ว่าตำรวจเขามีความคิดยังไงเกี่ยวกับคนรอบข้างต่างหาก”
“หรอ~...ในกรณีของคนที่สนิท ต่อให้เชื่อใจแต่ถ้าเขาทำผิดจริง ๆ ฉันก็ต้องยอมรับและให้กฎหมายเป็นคนจัดการ แต่ถ้าถามในกรณีของนาย...ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันควรเริ่มเชื่อใจนายจากตรงไหน นายคิดว่าตัวเองดูไม่น่าสงสัยแต่การที่นายดูไม่น่าสงสัยนี่แหละทำให้ฉันสงสัยในตัวนายขึ้นมา”
“อ้าว เวรละ ผมโดนสงสัยเฉย”
“ก็แค่สงสัยว่านายมีดูมีอะไรมากกว่าที่ฉันคิด ไม่ได้สงสัยในแง่ผู้ร้ายหรือว่าอะไร คำถามสุดท้ายละ”
“ระหว่างผมจมน้ำกับแบล็คโอเซลอตจมน้ำคุณจะช่วยใคร”
“ยัยแมวนั่นไม่มีทางจมน้ำตายหรอก ถ้าแต่ให้เลือก ฉันก็คงยืนอยู่บนบกแล้วโทรเรียกกู้ภัย ไม่ก็หาอะไรให้จับ แต่ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่ายัยนั่นจะยอมตาดีกว่าโดนฉันจับหรือเปล่า ถ้ายอมตายฉันก็คงช่วยนายแทน”
“อ้าว แล้วถ้าผมขาดอากาศหายใจตายก่อนอะ”
“ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของนายแล้ว”
“ใจร้ายจังวะคุณ ผมไปเก็บห้องก็ได้”
“...ฉันจะต่อลมหายใจให้นายเอง”
“ฮะ...คุณพูดอะไรนะผู้กอง” แทยงหันหลังกำลังจะเดินไปที่โซฟาแต่เขาได้ยินว่าผู้กองพูดอะไรบางอย่างจึงหันกลับไปถามอีกทีเพราะได้ยินไม่ถนัดนัก
“ฉันบอกว่าถ้านายขาดอากาศหายใจฉันก็จะต่อลมหายใจให้นายเอง นายจะได้รู้ว่าระหว่างตายกับรู้สึกเกิดใหม่อันไหนมันจะรู้สึกดีกว่ากัน”
“ผมก็คงเลือกตายแหละ...โลกนี้ไม่ได้น่าอยู่สำหรับทุกคนหรอกนะคุณ” ร่างบางทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนหยิบกระเป๋าแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ส่วนผู้กองหนุ่มก็วางตะเกียบลงก่อนจะเมมปากแน่นแล้วมองตามแผ่นหลังบางไปด้วยความเป็นห่วง
โดยเฉพาะถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นใครแล้วด้วย ผมยิ่งไม่อยากให้คุณช่วยผมขึ้นไปจากน้ำเลยผู้กอง
อ้าว ดราม่าเฉย
#แบล็คโอเซลอต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น